บอนด์ "ตลาดเกิดใหม่" เนื้อหอม นักลงทุนเผ่นหนีพันธบัตรสหรัฐ
หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรจากทุกประเทศทั่วโลกที่เป็นคู่ค้ามากกว่า 180 ประเทศ ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน ข่าวสารที่ครองหน้าสื่อในอันดับต้น ๆ ก็คือความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะ "ถดถอย” สูงขึ้น จนประหนึ่งว่า “ถดถอย” กลายเป็นวลีที่ชาวอเมริกันต้องได้ยินในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ทรัมป์จะ “ระงับ” การจัดเก็บภาษีไป 90 วัน ตลอดจน ยกเว้นภาษีสมาร์ทโฟน เซมิคอนดักเตอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อีกหลายรายการ พร้อมกับกล่าวอ้างรายวันว่า ใกล้จะได้ข้อตกลงเรื่องภาษีกับประเทศใหญ่ ๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น คำว่า “ถดถอย” ยังดังก้องกังวาน โดยเฉพาะในหมู่นักลงทุน นักธุรกิจ
ในสหรัฐอเมริกาเอง ถึงกับมีบางคนล้อเลียนนโยบายทรัมป์ว่า Make America Great Depression Again (MAGDA) หรือ “ทำให้อเมริกาเกิดเศรษฐกิจตกต่ำใหญ่อีกครั้ง” ซึ่งเป็นการล้อเลียนฝ่ายที่สนับสนุนนโยบาย Make America Great Again (MAGA) ของทรัมป์
ความไม่มั่นใจในนโยบายของทรัมป์ สร้างความเสียหายใหญ่ เพราะนำมาซึ่งการ “ขาดความเชื่อมั่น” ในสหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจที่ “สินทรัพย์” อเมริกา ทั้งดอลลาร์ พันธบัตร และอื่น ๆ เป็นสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยในการลงทุนมายาวนานหลายทศวรรษ
แต่หลังจากวันที่ 2 เมษายน นักลงทุนได้เริ่มเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ที่ลงทุนในอเมริกา ไปที่อื่น ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยตามข้อมูลของเจพี มอร์แกน ระบุว่าระหว่างวันที่ 2-25 เมษายน พันธบัตรที่ออกเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีผลตอบแทนลดลง 0.13%
ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.07% สะท้อนว่ามีการหนีออกจากพันธบัตรสหรัฐ ไปลงทุนพันธบัตรในประเทศเหล่านี้แทน
แครอล ไลย์ ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอ ของแบรนดี้ไวน์ โกลบอล อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ บอกว่า สินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้กำลังเร่งตัวขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเม็กซิโก บราซิล และแอฟริกาใต้ เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่นักลงทุนเข้าไปซื้อพันธบัตรมากขึ้น ทำให้ความต้องการสกุลเงินของประเทศเหล่านี้สูงขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน สกุลเงินของประเทศเหล่านี้ก็ยังได้ประโยชน์จากการที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง
“มาร์ก โมเบียส” ประธานกองทุน Mobius Emerging Opportunities ชี้ว่า นักลงทุนพยายามกระจายความเสี่ยงไปจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะนักลงทุนท้องถิ่นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีแนวโน้มจะย้ายเงินลงทุนออกจากพันธบัตรสหรัฐไปลงทุนตราสารหนี้ในประเทศของตัวเอง
ผู้สังเกตการณ์ตลาดอีกหลายคนระบุว่า ตราสารหนี้ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มจะทำผลงานดีกว่าหลังจากดอลลาร์สหรัฐตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
เทดาส เก็ดไมนาส ทีมวิจัยตลาดเกิดใหม่ของโกลด์แมน แซคส์ ชี้ว่า ในสภาพแวดล้อมที่ดอลลาร์อ่อนค่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่ำ และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกต่ำ ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่มักจะทำผลงานดีกว่ากลุ่มประเทศอื่น
พอล เบนสัน แห่ง Insight Investment กล่าวว่า นักลงทุนในสหรัฐกำลังมองตลาดเกิดใหม่ด้วย “เลนส์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” ในอดีต เมื่อนักลงทุนสหรัฐพยายามจะลงทุนต่างประเทศ อย่างเช่นในพันธบัตรของตลาดเกิดใหม่ พวกเขามักจะขาดทุนเมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ดอลลาร์ที่แข็งค่าจะทำให้กำไรที่ลงทุนด้วยสกุลเงินอื่นลดลง
แต่ “พายุและความเครียด” ที่เกิดขึ้นในปี 2025 จากนโยบายภาษีของสหรัฐ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะสินทรัพย์ของสหรัฐทั้งสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์และพันธบัตรที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าตลาด ทำให้นักลงทุนสหรัฐเริ่มเกิดความสงสัยว่า พวกเขาพลาดโอกาสการลงทุนต่างประเทศไปแล้วหรือไม่
อย่างไรก็ตาม วิกเตอร์ ซาโบ ผู้อำนวยการของอเบอร์ดีน อินเวสต์เมนต์ เห็นว่า ถึงแม้โดยส่วนตัวจะชอบพันธบัตรของตลาดเกิดใหม่ แต่ก็เร็วไปที่จะบอกว่าแท้จริงแล้ว นักลงทุนทั่วโลกโยกย้ายการลงทุนพันธบัตรของพวกเขาไปที่ไหนกันแน่
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าแทนที่นักลงทุนจะโยกเงินออกจากพันธบัตรสหรัฐแบบทันที นักลงทุนบางส่วนอาจโยกการลงทุนจากพันธบัตรสหรัฐระยะยาวไปเป็นระยะสั้น 2 ปีแทน เพราะหลังจากวันที่ 2 เมษายน ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลง ส่วนระยะยาว 30 ปีเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.3% ภายในสัปดาห์เดียว ส่วนพันธบัตร 10 ปี ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้น 0.3%
หลังจากวันที่ 2 เมษายน ที่มีการเทขายพันธบัตรสหรัฐครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดคำถามว่า “ใครกันแน่” ที่เทขาย มีการพุ่งเป้าไปที่จีนว่าน่าจะเป็นขาใหญ่ในการขายเพื่อแก้แค้นโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะปัจจุบันจีนถือพันธบัตรสหรัฐอยู่มากถึง 7.6 แสนล้านดอลลาร์ เป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น
แต่บางคนแย้งว่าหากจีนทำเช่นนั้นเท่ากับ “ยิงเท้าตัวเอง” เพราะหากเทขายออกมามากจะทำให้มูลค่าพันธบัตรที่จีนถืออยู่ลดลงและขาดทุน เมื่อขายก็จะนำเงินกลับประเทศแล้วแปลงไปเป็นสกุลหยวน ซึ่งจะทำให้ค่าเงินหยวนแข็ง ไม่ดีต่อการส่งออกของจีน
อีกประเทศหนึ่งที่ถูกสงสัย คือ “ญี่ปุ่น” โดยในความเห็นของแกร์รี อีแวนส์ แห่ง BCA Research เชื่อว่า ญี่ปุ่นคือปัญหาที่ใหญ่กว่า แต่คนขายไม่ใช่รัฐบาลญี่ปุ่น แต่น่าจะเป็นบริษัทประกัน “นิปปอน ไลฟ์” ซึ่งกรณีนี้รัฐบาลญี่ปุ่นอาจพูดได้ว่า “ไม่ได้ขาย” แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนที่รัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าของ หากเอกชนอยากขายเพื่อลดความเสี่ยง รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้
อีกสมมุติฐานหนึ่ง เชื่อว่าเป็นฝีมือของกองทุนป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) และ Bond Vigilantes (ผู้พิทักษ์กฎหมายพันธบัตร) โดยเฮดจ์ฟันด์นั้นมักกู้ยืมเงินมาซื้อพันธบัตร ขณะเดียวกันก็จะขายสัญญาล่วงหน้าที่ผูกกับพันธบัตรเหล่านี้เพื่อทำกำไรส่วนต่าง เมื่อเกิดแรงขายพันธบัตรในตลาดอย่างมาก เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้อาจถูกบังคับให้ขายพันธบัตรออกมา
ส่วนพวก Bond Vigilantes คือผู้ลงทุนที่ขายพันธบัตรรัฐบาล เพื่อประท้วงนโยบายการคลังที่พวกเขาเห็นว่าทำให้เกิดเงินเฟ้อ หรือไม่รับผิดชอบ คำนี้คิดขึ้นมาโดย เอ็ด ยาร์เดนิ นักเศรษฐศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่ออธิบายถึงนักลงทุนที่เทขายพันธบัตรของกระทรวงการคลังจำนวนมาก เพื่อประท้วงนโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ การเทขายเป็นการบังคับให้เกิดการเปลี่ยนนโยบาย
ในครั้งนี้ เอ็ด ยาร์เดนิ ก็ออกมาชี้ว่า Bond Vigilantes โจมตีอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของตลาดในตอนนี้เป็นสัญญาณว่านโยบายของทรัมป์ถูกนำทางผิด
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 3 พฤษภาคม 2568