สภาหอการค้าไทย เอ็มโอยู หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดนีเซีย ร่วมมือ 4 ด้านดันการค้า
วันที่ 19 พฤษภาคม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดนีเซีย (Indonesian Chamber of Commerce and Industry หรือ KADIN) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ภายในงาน CEO Forum Indonesia-Thailand ในโอกาสที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซียร่วมเป็นสักขีพยาน

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรภาคเอกชนชั้นนำที่มีเครือข่ายกว้างขวางทั่วประเทศ มีบทบาทในการส่งเสริมและผลักดันนโยบายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยสู่เวทีโลก ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกัน KADIN ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนหลักของอินโดนีเซียด้านเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายส่งเสริมภาคธุรกิจ การสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ และการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอินโดนีเซียในเวทีโลก
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสริมการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ, การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านธุรกิจ การค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ, การร่วมมือในการจัดและเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การประชุม และกิจกรรมส่งเสริมการค้า, การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนธุรกิจและการสนับสนุนการเยือนระหว่างผู้ประกอบการ
ความร่วมมือนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจาก หอการค้าไทยในประเทศอินโดนีเซีย (ThaiChamIndo) เป็นกลไกหลักในการประสานงานระหว่างภาคเอกชนทั้งสององค์กร และส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือและเศรษฐกิจร่วมกัน
ThaiCham Indonesia ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 โดยผู้ก่อตั้งร่วมจากบริษัทภาคเอกชน ภายใต้การอุปถัมภ์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงธุรกิจไทยในอินโดนีเซียกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจไทยในอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 8 ในปี 2567 มูลค่าการค้ารวม 643,944.68 ล้านบาท (ขยายตัวจากปี 2566 ร้อยละ 1.19) ทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต การส่งออก และศูนย์กลางการเชื่อมโยงภูมิภาคในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเกษตรแปรรูป พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์และชิ้นส่วน การท่องเที่ยว สุขภาพ และเศรษฐกิจดิจิทัล
ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างหอการค้าไทยและ KADIN จะช่วยส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างกัน รวมถึงร่วมกันแสวงหาแนวทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
การลงนามในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนไทยและอินโดนีเซียในการร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่ออนาคตของทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยและอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน จำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค รองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นอกจากนี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม CEO Forum Indonesia – Thailand ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, KADIN และการสนับสนุนจาก ธนาคารกรุงเทพ ในการเสริมพลังความร่วมมือภาคเอกชนใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ (1) บริการทางการเงิน (2) พลังงาน (3) เกษตรกรรมและอาหาร (4) การค้าและภาคธุรกิจ สู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของภูมิภาค ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
ในการประชุม CEO Forum ได้มีการเชิญผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนและผู้มีบทบาทสำคัญจากภาคส่วนต่างๆ ที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ เอสซีจี บ้านปู กลุ่มมิตรผล ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม บีกริมม์ อินโดรามา ไมเนอร์กรุ๊ป ธนาคารกสิกรไทย และ PT Permata Bank Tbk เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างความร่วมมือ และผลักดันแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและอินโดนีเซีย

เวทีหารือนี้มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้นำภาคเอกชน สร้างพลังร่วมของภาคเอกชนทั้งสองประเทศในการสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร และเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน
การเข้าร่วมของ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองรัฐบาลในการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของภูมิภาคอาเซียนโดยรวม
การประชุม CEO Forum ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือของภาคเอกชนระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงบทบาทนำของทั้งสองประเทศในการร่วมกันผลักดันอาเซียนสู่ภูมิภาคที่มีความมั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกในอนาคต
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 19 พฤษภาคม 2568