สงครามการค้า 2025 ชัยชนะของ "สี จิ้นผิง"
ตลอดปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ผู้นำที่เสียงดังที่สุดในโลกอาจจะเป็นคนอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทรัมป์อาศัยอำนาจประธานาธิบดีลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแล้วฉบับเล่า สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ในระดับสากล ทรัมป์ไม่เพียงอาศัย “สงครามภาษีศุลกากร” เป็นเครื่องมือ เขียนกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่เท่านั้น เขายังอวดอิทธิฤทธิ์ไปทั่ว อาศัยอำนาจและบารมีของสหรัฐอเมริกาบังคับให้เกิดสันติภาพขึ้นในหลากหลายที่ ควบคู่ไปกับการข่มขู่คุกคามว่าจะก่อสงครามขึ้นในหลายต่อหลายพื้นที่ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะส่งเสียงครืนครั่น ขู่กรรโชกมากมายเพียงใดให้สยบยอม เมื่อปี 2025 กำลังย่างกรายเข้าสู่จุดสิ้นสุด การณ์กลับปรากฏว่าผู้ที่สามารถฉกฉวยและได้รับผลประโยชน์สูงสุดไปในช่วงขวบปีที่ผ่านมาไม่ใช่ทรัมป์ หากแต่เป็นคนอย่าง “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ที่สามารถแสดงให้โลกเห็นประจักษ์ว่า แท้จริงแล้วสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องพึ่งพาจีนมากเพียงใด ชนิดที่ทำให้นักวิเคราะห์หลายต่อหลายคนสรุปส่งท้ายปีไว้ว่า ยกแรกในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21 ชัยชนะตกเป็นของจีนอย่างชัดเจน
ตลอดทั้งปี 2025 จีนแสดงให้เห็นถึงอานุภาพเชิงอุตสาหกรรมออกมาให้เห็น โดยที่สัดส่วนในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มของจีนมีมากกว่า 1 ใน 3 ของมวลรวมการผลิตของโลก ส่งผลให้จีนมีอำนาจมากพอถึงขนาดสามารถ “ดิสรัปต์” ห่วงโซ่อุปทานของทั้งโลกได้ภายในชั่วข้ามคืน
ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียว บริษัทจากจีนเป็นผู้ผลิตสำคัญในห่วงโซ่ของสินค้าสูงถึง 60-80% ทั้งในส่วนที่เป็นวัตถุดิบ, ชิ้นส่วนประกอบ และที่เป็นสินค้าสำเร็จรูป อย่าง แผงโซลาร์เซลล์, กังหันลมสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ในขณะที่ “ดีพซีก” (DeepSeek) ก็แสดงให้เห็นว่าจีนก้าวล้ำหน้าไปมากมายเพียงใด ในแง่ของปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั้ง ๆ ที่สหรัฐอเมริกาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแซงขึ้นหน้าให้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาบริษัทผู้ผลิตยาในจีนในเวลานี้ก็มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกมากมายไม่แพ้บริษัทในสหรัฐอเมริกา แถมยังทำได้รวบรัดรวดเร็วกว่าด้วยอีกต่างหาก
บริษัทอเมริกันที่เมื่อ 2 ทศวรรษก่อนพากันแห่ไปลงทุนในจีน เพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากกระบวนการผลิตราคาถูกและตลาดใหญ่โตที่นั่น ตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีห้องทดลองเพื่อการวิจัยและพัฒนาในจีนด้วยกันทั้งสิ้น
ในปี 2025 สี จิ้นผิง แสดงให้เห็นว่าอานุภาพเชิงอุตสาหกรรมของจีนไม่ได้เอื้อประโยชน์เพียงแค่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังเป็นแหล่งที่มาของอำนาจได้อีกด้วย การประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกสินแร่หายากของสี จิ้นผิง คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าจีนก็สามารถใช้การพึ่งพาของประเทศอื่นมาเป็นอาวุธได้ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลที่เผยแพร่โดยสถาบันว่าด้วยนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย บ่งชี้ว่าในเวลานี้จีนเป็นผู้นำในการศึกษาวิจัยมากถึง 66 ด้าน จากทั้งหมด 74 ด้าน โดยวัดจากสัดส่วนของการมีส่วนร่วมในการรายงานผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์สำคัญ ๆ ที่น่าสนใจก็คือ ในขอบเขตการวิจัย 66 ด้านที่จีนเป็นผู้นำอยู่นั้น มีมากถึง 22 ด้านที่เป็นการนำชนิดที่มีอิทธิพลครอบงำส่วนที่เหลือทั้งหมดเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ สี จิ้นผิง และจีนประสบความสำเร็จในระดับนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็ด้วย “ความช่วยเหลือ” จากสหรัฐอเมริกาที่ทรัมป์หยิบยื่นให้ ในด้านหนึ่งก็คือการประกาศทำสงครามการค้าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรแบบตามใจฉัน กับอีกด้านหนึ่งก็คือการกำหนดนโยบายภายในที่กลายเป็นนโยบาย “เข้าทาง” จีนไปในที่สุด
ถึงตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนพูดออกมาได้เต็มปากว่า การตัดสินใจทำ “สงครามการค้า” กับจีนรอบใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาของทรัมป์ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด สิ่งหนึ่งซึ่งทรัมป์และพวกไม่ได้คำนึงถึงก็คือ เศรษฐกิจจีนไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเดียวกับสหรัฐอเมริกา
นั่นหมายถึงว่าเศรษฐกิจจีนสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าและดีกว่าเศรษฐกิจอเมริกัน
ทรัมป์มองข้าม ไม่เหลือบแลวิธีการปิดล้อมจีนในเชิงพาณิชย์ โดยการอาศัยสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับบรรดาชาติพันธมิตร แต่กลับเลือกใช้วิธีการทำ “สงครามภาษี” ที่ไม่มีวันได้ผล เพื่อโดดเดี่ยวจีนตามที่ต้องการ ทำนองเดียวกันกับการที่ไม่ให้คุณค่าและโจมตีต่อวิทยาศาสตร์ในประเทศ ที่รังแต่จะทำให้ความก้าวหน้ากลายเป็นการถดถอย ทรัมป์ไม่เพียงเล่นงานบรรดานักวิจัย ยังยกเลิกทุนสนับสนุน และระงับเงินทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อสถาบันทั้งหลายที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของตนเอง
แน่นอนพฤติกรรมดังกล่าวทำให้การศึกษาวิจัยที่สำคัญ ๆ ขาดเงินทุนสนับสนุน ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างชาติที่มีเชื้อสายจีน โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการต่อบรรดาผู้อพยพที่เข้ามาปักหลักทำงานในสหรัฐอเมริกา ผลก็คือบุคคลที่มีความสามารถ มีพรสวรรค์ ถ้าไม่ตัดสินใจเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกา ก็ตัดสินใจไม่เลือกไปปักหลักอยู่ที่นั่นอีกแล้ว ชาติที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ไปแล้วเต็ม ๆ ก็คือจีน
ในระยะสั้น จีนได้รับชัยชนะอย่างเห็นได้ชัด แต่ในระยะยาวกลับไม่ใช่กรณีเดียวกัน ถึงจีนจะได้รับชัยชนะในปีนี้ แต่พลวัตของจีนในที่สุดจะถูกจำกัดและเหี่ยวเฉาลงด้วยความตึงตัว ตายตัวในทางการเมือง สถานะทางเศรษฐกิจจีนในเวลานี้สะท้อนแนวโน้มนี้ออกมาให้เห็น ในเดือนพฤศจิกายนราคาสินค้าหน้าโรงงานลดลงต่ำกว่าเมื่อ 1 ปีก่อนหน้าถึง 2.2% และเป็นการลดลงต่อเนื่องรวดเดียว 38 เดือนติดต่อกัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดมือสองยังคงต่ำกว่าระดับราคาสูงสุดอยู่มากกว่า 20% แถมยังต่ำลงต่อเนื่องอีกด้วย
พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในปีหน้านี้ก็จริง แต่ก็ยังคงสนับสนุนสิ่งที่เชื่อว่าเป็น “การผลิตเชิงยุทธศาสตร์” ของตนต่อไปพร้อมกันไปด้วย นั่นหมายถึงว่าภาวะการผลิตล้นเกินความต้องการ (Overcapacity) จะคงอยู่ต่อไป
ในระบอบประชาธิปไตย ความผิดพลาดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่ว่ากันว่าในจีนจะกลับเป็นตรงกันข้าม ยิ่งความผิดพลาดใหญ่โตมากเท่าใด พรรคคอมมิวนิสต์ยิ่งขลาดที่จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่านั้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 ธันวาคม 2568

