5 ปรากฏการณ์ข่าวเด่นปี 2568 จึ้ง ทึ่ง ว้าว เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจไทย
ฐานเศรษฐกิจคัด 5 ข่าวเด่นปี 2568 ที่ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือแรงสั่นสะเทือนเชิงโครงสร้างต่อกฎหมาย ตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงปี 2569
แม้ปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะมีความผันผวนอยู่มาก จากปัจจัยรอบด้านทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ตลอดปีที่ผ่านมาก็มี “ปรากฏการณ์” ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกธุรกิจ ซึ่ง “ฐานเศรษฐกิจ” คัดเลือก 5 ปรากฏการณ์เด่นในแวดวงเศรษฐกิจและธุรกิจการตลาด มาไว้เป็นบทสรุปในปีนี้
แก้กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรอบ 50 ปี :
การบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “ปรากฏการณ์แห่งปี” ที่เขย่าโครงสร้างการกำกับดูแลธุรกิจและพฤติกรรมสังคมไทยมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขรายมาตรา แต่คือการรื้อระบบการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งชุด
สาระสำคัญคือการโอนอำนาจกำหนดเวลาและสถานที่จำหน่ายจากคำสั่งและประกาศเฉพาะกิจในอดีต มาอยู่ภายใต้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยตรง พร้อมยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 พ.ศ. 2515 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่เคยกำหนดข้อห้ามการจำหน่ายช่วงเวลา 14.00–17.00 น. มานานกว่า 53 ปี เปิดทางให้สามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่เวลา 11.00–24.00 น.

การ “ปลดล็อกเวลา” นี้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนสำคัญต่อภาคค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งต้องเร่งปรับตัวรับการแข่งขันใหม่ ขณะเดียวกัน กฎหมายกลับเพิ่มความเข้มงวดด้านการสื่อสารการตลาด โดยขยายข้อห้ามการโฆษณาเชิงชักจูง การใช้โลโก้แฝง และเพิ่มนิยามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ครอบคลุมมากขึ้น
จุดเปลี่ยนเชิงคุณภาพเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 กับบทบัญญัติห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บุคคลที่มีอาการมึนเมา หากเกิดความเสียหาย ผู้ขายต้องร่วมรับผิดชอบและเปิดช่องให้ผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายได้โดยตรง นับเป็นการยกระดับผู้ประกอบการจาก “ผู้ขาย” สู่ “ผู้ร่วมรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสังคม” อย่างไม่เคยมีมาก่อน
สงครามหม้อร้อน “สุกี้–ชาบู” แข่งดุ :
ตลาดสุกี้–ชาบู มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2568 กลายเป็นสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารที่ร้อนแรงที่สุดแห่งปี เมื่อผู้เล่นรายใหญ่และหน้าใหม่พาเหรดลงสนามบุฟเฟต์ โดยเฉพาะเซกเมนต์ราคาต่ำกว่า 300 บาท ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อเปราะบาง นำไปสู่ “สงครามราคา” เต็มตัว
ยักษ์ใหญ่อย่าง MK ที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% ต้องตัดสินใจกระโดดลงสู่สนามบุฟเฟต์เป็นครั้งแรก ขณะที่ “สุกี้ตี๋น้อย” กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญ ด้วยโมเดลราคาจับต้องได้และการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว
เกมเปลี่ยนชัดเจนเมื่อเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (CRG) ทุ่ม 940 ล้านบาท ซื้อหุ้น 40% ใน “ลัคกี้ สุกี้” ประกาศตัวเข้าร่วมศึกอย่างเป็นทางการ พร้อมส่งสัญญาณว่าตลาดนี้ยังมีศักยภาพ แม้การแข่งขันจะรุนแรงแรงสั่นสะเทือนยังไม่จบ เมื่อแบรนด์ต่างชาติ Haidilao แตกไลน์เปิด “HI Dee Shabu” ราคาเริ่มต้น 199 บาท สาขาแรกในโลกที่ไทย สะท้อนการรุกตลาดแมสอย่างจริงจัง
การแข่งขันที่เผชิญหน้ากันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ส่งผลให้ยอดขายรวมของตลาดขยายตัว โดยเฉพาะจากบุฟเฟต์ราคาไม่เกิน 300 บาทที่ผู้บริโภคได้อานิสงส์โดยตรง สวนทางกลับยอดขายและกำไรโดยรวม เมื่อผลประกอบการ 9 เดือนแรกของหลายค่ายกลับกำไรหด สะท้อนโจทย์ใหญ่ Volume vs. Margin และคำถามสำคัญว่า ใครจะอยู่รอดในสงครามราคาที่ไม่มีใครยอมถอย
วิกฤต “หงส์ไทย” เขย่า Soft Power สมุนไพรไทย :
เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการสมุนไพรไทยมากที่สุดในปี 2568 คือวิกฤต “ยาดมหงส์ไทย” จากไอเทม Soft Power ระดับโลก สู่กรณีศึกษาด้านความเสี่ยงอุตสาหกรรม
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อ อย. ออกประกาศเตือน “ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2” ผิดมาตรฐาน พบเชื้อ Clostridium spp. บริษัทต้องเรียกคืนสินค้าล็อต 000332 จำนวน 2 แสนกระปุก พร้อมเยียวยาลูกค้าเต็มจำนวน สถานการณ์ยกระดับทันทีเมื่อ ปคบ. และ อย. บุกทลายโรงงานเถื่อน 3 แห่ง ยึดของกลางกว่า 2.35 ล้านชิ้น มูลค่า 100 ล้านบาท
บทสรุปไม่ได้จบที่การเรียกคืน แต่ “หงส์ไทย” เลือกที่จะประกาศแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่นร่วมกับภาครัฐ โดยใช้มาตรการความปลอดภัยใหม่ (New Protocol) ส่งสินค้าทุกล็อตตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และฆ่าเชื้อด้วยเทคโนโลยีฉายรังสี ณ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.)
เพื่อยืนยันความปลอดภัย 100% พร้อมเป้ายกระดับสู่มาตรฐาน GMP ASEAN เพื่อรักษาภาพลักษณ์ Soft Power สมุนไพรไทยให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง วิกฤตครั้งนี้จึงกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของ Soft Power ไทยว่า “ชื่อเสียงระดับโลก ต้องมาพร้อมมาตรฐานระดับโลก”
เทศกาลเจนนี่ ไลฟ์สดสะเทือนอีคอมเมิร์ซไทย :
ปรากฏการณ์ขายของออนไลน์แบบบ้าคลั่ง ทุบสถิติโลกโซเชียลไทยด้วยยอดขาย 6 วัน กวาดรายได้ กว่า 557 ล้านบาท และทะลุ 1,000 ล้านบาทในเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นตัวเลขที่เขย่าวงการ Live Commerce แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกลายเป็น “เทศกาลเจนนี่” โดย “รัชนก สุวรรณเกตุ” เจ้าของฉายา “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น”
พฤติกรรมการซื้อของคนไทยเปลี่ยนไปแล้ว สินค้ามูลค่ามหาศาลถูกโอนจ่ายผ่านหน้าจอเพียงไม่กี่นาที ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้ยอดขายถล่มทลายกับโมเดล “10 นาที 50,000 บาท”
ซึ่งเป็นการบีบให้แบรนด์ต้องอัดโปรโมชั่น เพื่อปิดการขายให้ได้ 1,000 ออเดอร์ในเวลาสั้นๆ สร้าง FOMO ระดับมหาศาล ทำให้คนดูเกิดอาการกลัวของหมดจนต้องรีบกดสั่ง ผสมกับการดึงดาราตัวท็อปอย่าง อั้ม พัชราภา หรือ หนุ่ม กรรชัย มาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้คนกล้าจ่ายเงินง่ายขึ้นไปอีก
แม้โมเดลนี้จะไม่ยั่งยืน ซาลง (อย่างรวดเร็ว) เช่นกัน เพราะเมื่อกดซื้อในเวลารวดเร็ว ก็กดยกเลิกได้ในเวลาต่อมาเช่นกัน ส่งผลกระทบต่อหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็กก็โดนกันถ้วนหน้า เทศกาลเจนนี่จึงไม่เพียงเป็นสีสัน เขย่าวงการ Live Commerce แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่ปล่อยผ่านไม่ได้
Co-payment ประกันสุขภาพ แนวคิดใหม่ ไร้จุดลงตัว :
มาตรการ “ร่วมจ่าย” (Co-payment) ในระบบประกันสุขภาพเอกชน เป็นหนึ่งในข่าวเด่นช่วงต้นปี 2568 จากเกณฑ์ใหม่ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล
โดยบังคับใช้ในวันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งละเอียดเชิงลึก ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้เอาประกันและระบบสาธารณสุข เพราะมีเกณฑ์การบังคับ “ร่วมจ่าย” 30-50%
มาตรการนี้จะพิจารณาจากประวัติการเคลมในปีกรมธรรม์ก่อนหน้า แบ่งเป็น 3 กรณีได้แก่
1)ร่วมจ่าย 30% หากเคลม โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมียอดเคลมรวมเกิน 200% ของเบี้ยประกัน
2)ร่วมจ่าย 30% หากเคลม โรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงหรือการผ่าตัดใหญ่) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมียอดเคลมรวมเกิน 400% ของเบี้ยประกัน
3)ร่วมจ่าย 50%หากเข้าเงื่อนไข ทั้งสองข้อข้างต้นพร้อมกัน ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่ายถึงครึ่งหนึ่งของค่ารักษาในปีถัดไป ซึ่งอาจครอบคลุมถึงกรณีผ่าตัดใหญ่ที่เกิดขึ้นในปีนั้นด้วย
แม้วัตถุประสงค์และเหตุผลของฝั่งผู้กำกับดูแล (คปภ.) จะควบคุมและลดพฤติกรรมการใช้สิทธิประกันเกินความจำเป็น รับกับมือเรื่องเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่สูงขึ้นประมาณ 15.2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก (5.6%) แต่ผู้บริโภคยังมีข้อกังวลและคัดค้านและเรียกร้องให้ชะลอการบังคับใช้ออกไป เนื่องจากเป็นผลักภาระให้ประชาชนที่มองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เพราะค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนแพงเกินจริงและขาดการควบคุมราคาจากรัฐ รวมถึงนิยามไม่ชัดเจนกับคำว่า “โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย” ที่อาจเปิดช่องให้บริษัทประกันใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธความคุ้มครองเต็มจำนวนมาตรการ Co-payment จึงเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ “ยังไม่จบ” ในความรู้สึกของภาคประชาชน
ทั้ง 5 ปรากฏการณ์ข่าวเด่นปี 2568 สะท้อนจุดร่วมเดียวกัน คือ “การเปลี่ยนสมการเดิม” ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ธุรกิจ สุขภาพ หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ปีนี้จึงไม่ใช่แค่ปีที่มีข่าวแรง แต่คือปีที่โครงสร้างหลายเรื่องไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และผลกระทบของมันจะลากยาวไปถึงปี 2569 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 29 ธันวาคม 2568

